สินค้าจีนทะลักเข้ามาตี
จีนก้าวขึ้นเป็ นมหาอำนาจในการผลิตสินค้าอุ ตสาหกรรมและกำลังรุกคืบเข้ ามาไทย
จีนก้าวขึ้นเป็ นมหาอำนาจในภาคการผลิตโลกอย่ างรวดเร็วนับตั้งแต่ประเทศจี นเข้าร่วมองค์กรการค้าโลก ( World Trade Organization : WTO) ในปี 2001 อย่างไรก็ตามในช่วงวิกฤตโควิด มีหลายการเปลี่ยนแปลงที่เร่งให้ สินค้าจากจีนสามารถส่งออกไปยั งโลกและไทยได้เร็วมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นสองปัจจัยผลั กจากจีน คือ (1) พัฒนาการการเติบโตที่รวดเร็ วของแพลตฟอร์ม e-Commerce ในจีนโดยและธุรกรรมในประเทศจี นมีขนาดใหญ่กว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งโลก และยังขยายธุรกิจส่งออกโดยอาศัย e-Commerce ข้ามประเทศ (Cross-border e-Commerce) ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 15% ในปี 2021 โดยประเทศไทยมีสัดส่วนจากการส่ งสินค้าข้ามประเทศจากจี นขนาดประมาณ 24% ของมูลค่า e-Commerce ทั้งหมด (2) เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนที่ ชะลอตัวลงจากปัญหาในภาคอสังหาริ มทรัพย์ ทำให้จีนต้องหันมาพึ่ งพาภาคการส่งออกสินค้าอุ ตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลั กของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่ามี 4 ปัจจัยในไทยเอง ที่มีส่วนดึงดูดสินค้าจากจีนให้ เร่งเข้ามามากกว่าในหลายประเทศ คือ 1) ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่เอื้อต่ อการนำเข้าสินค้าจากจีน ตัวอย่างเช่น การคิดอัตราภาษีจากสินค้าจี นในระดับต่ำ 2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ จีนเป็นผู้นำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า 3) การเกิดขึ้นของ e-Commerce ในประเทศไทย โดยคนไทยมีความคุ้นเคยและนิยมซื้ อสินค้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพิจารณาจากราคา ไม่ยึดติดกับแบรนด์ 4) การให้ Free visa กับนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้ไม่มีการตรวจสอบการเข้ าออกประเทศอย่างเข้มงวด เปิดช่องทางให้คนจีนเข้ ามาทำการค้าทำธุรกิจในไทยได้ โดยง่าย
ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ไทยเป็ นหนึ่งในเป้าหมายการส่งออกสินค้ าจากจีน ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากั บจีนเร็วมากที่สุดเมื่อเทียบกั บประเทศอื่น ๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.5% ของ GDP ในปี 2012 เป็น 7.5% ของ GDP ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 p.p. ซึ่งเกิดจากทั้งการนำเข้ามาเพื่ อบริโภคในประเทศเอง และการนำเข้าเพื่อส่งออกสินค้ าต่อไปยังต่างประเทศ
สินค้าที่ทะลักเข้าไทยมากที่สุ ด
KKP Research ประเมินว่าหากพิจารณาพั ฒนาการของการค้าระหว่างไทยกับจี นในรายละเอียดอาจสามารถแบ่งได้ เป็น 5 กลุ่มสินค้าสำคัญที่น่าสนใจ คือ
1) กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้มี การขาดดุลมากที่สุด โดยสินค้าที่สำคัญที่ไทยนำเข้ าจากจีนค่อนข้างมาก คือ สินค้าในกลุ่ม smartphone ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถซื้ อขายได้ผ่าน e-Commerce Platform ทำให้เห็นภาพว่า e-Commerce มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งผ่ านสินค้าจากจีนมายังไทยมากขึ้ นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
2) สินค้าในกลุ่มเครื่องจักร เคยเป็นหนึ่งในประเภทสินค้าที่ ไทยเกินดุลการค้ากับจีนจากสินค้ าอย่าง Hard Disk Drive อย่างไรก็ดี ในภายหลังสินค้าเครื่องจั กรจากจีนเริ่มเข้ ามาในตลาดไทยมากขึ้น นำโดย Laptop และเครื่องใช้ไฟฟ้า
3) สินค้าในกลุ่มยานยนต์ สินค้าที่ขาดดุลกับจีนเป็นอันดั บต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่สินค้าที่เกินดุลการค้ากั บจีนเป็นสินค้ารถยนต์ที่ ประกอบสำเร็จแล้ว โดยในปี 2022 เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ ยงจากการที่ไทยเริ่มขาดดุลการค้ ากับจีนในสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV โดยมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นแซงหน้ าชิ้นส่วนยานยนต์ทุกประเภท
4) เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม พบว่าเหล็กและอะลูมิเนียมขาดดุ ลการค้ามากขึ้นทุกปีกับจีน โดยมีสาเหตุจากกำลังการผลิตที่ เกินอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่ ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ สุดท้ายจึงต้องส่งออกเหล็กสำเร็ จรูปเหล่านั้นมาที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย
5) เคมีภัณฑ์และพลาสติก เปลี่ยนจากการเกินดุลการค้าเป็ นขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่ างประเทศ (IEA) ระบุว่าในปัจจุบันจีนมีการพั ฒนาเพื่อรองรับการขยายตั วของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม โดยมีกำลังผลิตรวมมากกว่ายุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก จีนจึงไม่จำเป็นต้องพึ่ งพาการนำเข้าอีกต่อไป
e-Commerce platform คลื่นยักษ์ลูกใหม่ที่เร่ งการทะลักของสินค้าจีนมาไทย
KKP Research ประเมินว่าหนึ่งในปัจจัยเร่ งการส่งสินค้าจีนมายังไทย คือ การเติบโตของ e-Commerce platform โดยข้อมูลชี้ว่ามูลค่า e-Commerce เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยการเติบโตเร่งขึ้นมากในช่ วงโควิดส่งผลให้ในปี 2023 ตลาด e-Commerce มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ราว 5.96 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนกว่า 50% เป็นธุรกิจประเภท Business-to-Consumer (B2C) คือการขายของออนไลน์จากธุรกิ จไปยังผู้บริโภคโดยตรง ในด้านช่องทางการซื้อขายออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอั นดับแรก คือ e-Marketplace
สาเหตุที่ทำให้ e-Commerce ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ วและยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้สู งจากหลายปัจจัย ได้แก่ (1) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ อยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอิ นเทอร์เน็ตสูงถึง 88% จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 66% (2) สัดส่วนการเข้าถึง smart phone สูงถึง 77.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 69% (3) การเข้าถึงข่องทางการชำระเงิ นออนไลน์ (online payments) ที่หลากหลาย ช่วยสนับสนุนการค้าปลีกออนไลน์ ให้มีความสะดวกในต้นทุนที่ต่ำ ติดอันดับต้น ๆ ของโลก ในระยะข้างหน้าการแข่งขั นในสมรภูมิ e-Commerce กำลังจะเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อ มี e-Marketplace platform เจ้าใหม่ที่เจาะตลาดไปแล้วถึง 51 ประเทศทั่วโลกและได้รุกก้าวเข้ ามาบุกตลาดในประเทศไทยเมื่อไม่ นานมานี้
เศรษฐกิจไทยภายใต้แรงกดดันจากสิ นค้าจีน
ในกรณีของประเทศไทยการเติบโตของ e-Commerce มีแนวโน้มส่งผลกระทบทางลบต่ อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยผลจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ มผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจ 1) ผู้บริโภคมีแนวโน้มได้ประโยชน์ เพราะสามารถซื้อสินค้าได้ ในราคาถูกลง 2) ผู้ผลิตในกลุ่มธุรกิจที่ได้ ประโยชน์จากการใช้วัตถุดิ บราคาถูก หรือธุรกิจที่โตไปพร้อมกับ e-Commerce 3) ผู้ผลิตในกลุ่มสินค้าเดียวกับสิ นค้าที่นำเข้าผ่าน e-Commerce มีแนวโน้มได้รั บผลกระทบทางลบจากการเข้ ามาทดแทนของสินค้าจีน ตัวอย่างเช่น สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า
เมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่มี แนวโน้มส่งออกผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce มายังประเทศไทย กลุ่มสินค้าที่ไทยมีแนวโน้ มขาดดุลกับจีนมากขึ้นและมี แนวโน้มเกี่ยวข้องกับ e-Commerce คือ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่ งมีมูลค่าเพิ่มมากถึง 8.8% ของภาคการผลิตไทย เครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าเพิ่ม 3.5 % และอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ ามีมูลค่าประมาณ 3 % โดยนับรวมเป็นมูลค่าเพิ่ มในภาคการผลิตในกลุ่มที่มี ความเสี่ยงนี้คิดเป็นประมาณ 18% ของ มูลค่าการผลิตทั้งหมดของประเทศ โดยเริ่มเห็นทิศทางการผลิตที่ ชะลอลงแล้วในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้การเข้ามาของ e-Commerce ยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อ ภาคบริการแบบเก่า คือ กลุ่มค้าปลีกมีโอกาสได้รั บผลกระทบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ถึ งประมาณ 16% ของ GDP
KKP Research ประเมินว่าอาจมีผลกระทบสำคั ญตามมาอีกอย่างน้อย 5 เรื่อง คือ 1) รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มถู กกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ ปรับตัวได้ยากกว่า 2) หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้ น โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นสั ญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสี ยของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มสินค้ าเดียวกันกับสินค้าที่ไทยขาดดุ ลกับจีนมากขึ้น เช่น สิ่งทอและเสื้อผ้า เหล็ก 3) ดุลการค้ามีแนวโน้มพลิกเป็ นขาดดุลในระยะยาวและกดดันค่าเงิ นบาทจากการนำเข้าสินค้าจี นทดแทนการผลิต 4) เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดั บต่ำต่อเนื่อง จากสินค้าราคาถูกจากจีน 5) รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ภาษี จากการที่การชำระเงินให้กั บการซื้อสินค้าออนไลน์ บนแพลตฟอร์มข้ามชาติเหล่านี้ ถูกจ่ายตรงไปยังธุรกิจในต่ างประเทศ
ไทยควรรับมืออย่างไร ?
การเข้ามาบุกตลาดของสินค้าจี นอาจมีข้อดีทำให้ซื้อสินค้ าในราคาถูกลง แต่ตามมาด้วยผลกระทบด้านลบต่อผู้ ประกอบการไทย ทั้งนี้การออกมาตรการสกัดกั้ นหรือตอบโต้สินค้าจากจีนอาจเป็ นประเด็นที่ละเอียดอ่ อนในทางการเมืองและความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ KKP Research ประเมินว่าภาครัฐไม่จำเป็นต้ องกีดกันสินค้าจากจีนในวงกว้าง หากแต่ควรพิ จารณาออกแบบมาตรการรับมือ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และหลั กการในมิติดังต่อไปนี้
- Fair competition: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่
เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีการลักลอบ หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี หรือเป็นการทุ่มตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสี ยผลประโยชน์จากการแข่งขันที่ไม่ เท่าเทียม - Quality and standards: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าสินค้
าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่ กำหนดโดยมาตรฐานสินค้ าและอาหารของหน่วยงานภาครั ฐไทยหรือไม่? - Strategic industry: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่
มาแข่งขันกับการผลิ ตในประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญที่ มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สำหรั บเศรษฐกิจไทย และการจ้างงานในภาพรวมหรือไม่?
ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะที่ ตรงตามเกณฑ์ต่าง ๆ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือธุรกิ จไทยในกรณีที่มีการแข่งขันที่ ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการช่วยให้อุตสาหกรรมที่ มีความสำคัญกับเศรษฐกิจมี เวลาปรับตัวมากเพื่อรั กษาผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใดที่จะใช้ ในการตั้งรับกับการแข่งขั นในสมรภูมิสินค้าที่ดุเดื อดมากขึ้นนี้ก็อาจเป็นเพี ยงการซื้อเวลาให้ผู้ ประกอบการได้พอมีเวลาปรับตัว แต่สุดท้ายแล้วผู้ชนะในตลาดนี้ จำเป็นต้องแข่งกันด้วยคุ ณภาพของสินค้า ประสิทธิภาพในการผลิต ความคุ้มค่า รวมไปถึงการบริการที่ตอบโจทย์ และได้ความพึงพอใจจากผู้บริโภค นับเป็นโอกาสที่ดีที่ภาคการผลิ ตไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรู ปแบบการทำธุรกิจ พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สร้างนวัตกรรม สร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้ น โดยภาครัฐอาจต้องช่วยส่งเสริมด้ วยการสนับสนุนการลงทุ นในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงการผลิต รวมถึงการบุกเบิกตลาดใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น