บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TSE ฐานทุนแกร่งหลังขายโรงไฟฟ้าโอนิโกเบ มูลค่า 3,357 ล้านบาท ชำระคืนหนี้ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง ซีอีโอหญิงแกร่ง “ดร.แคทลีน มาลีนนท์” ประกาศลั่น
ปี 67 พร้อมลุยธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะชุมชน และธุรกิจ Wellness หวังสร้าง
New S-Curve เพื่อการเติบโตยั่งยืน
ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE เปิดเผยว่า ในปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ ได้เดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ตามเป้าหมายการเพิ่มรายได้ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งรายได้จากธุรกิจเดิม และรายได้จากธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต โดยมีความพร้อมด้านเงินลงทุนที่มาจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น “โอนิโกเบ” มูลค่า 3,357 ล้านบาท และหากต้องการเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น มั่นใจว่าพันธมิตรทางธุรกิจและสถาบันการเงินพร้อมให้การสนับสนุน เนื่องจากบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ 1.83 เท่า จากเดิมที่เท่ากับ 2.18 เท่า ณ สิ้นปี 2565
โดยในปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ
เตรียมเข้าประมูลงานโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งรอบที่ 2 และรอบที่ 3 ตั้งเป้าหมายว่าจะได้งานประมูลราว 100 – 150 เมกะวัตต์ หลังจากปี 2566 ที่บริษัทฯ ชนะประมูลงานโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบที่ 1 เป็นจำนวน 88.66 เมกะวัตต์เสนอขาย
และเดินหน้ารุกธุรกิจ Private PPA (Private Power Purchase Agreement) หรือข้อตกลงการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งแบบติดตั้งบนหลังคา
(Solar Rooftop) และแบบติดตั้งบนผืนน้ำ (Solar
Floating) ของผู้ประกอบการธุรกิจแบบครบวงจร และมีแผนจะทำ M&A
(Mergers and Acquisitions) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งกำลังการผลิต
และมีแผนจับมือกับพันธมิตรในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในประเทศไทย
และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมและรายได้จากส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าทั้งสิ้น 1,898 ล้านบาท และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดกว่า 100 ล้านบาท
ส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลสำหรับการดำเนินงานงวดปี 2566
อยู่ที่อัตราหุ้นละ 0.14 บาท
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงถึง 8% ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2566
ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท ดังนั้นจึงมีเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตราหุ้นละ
0.05 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) เป็นวันที่ 13 พฤษภาคม 2567
และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น