มนุษย์เงินเดือนลงทุนผ่าน LTF ไม่ขอทน ยื่นหนังสือDSIให้รับคดีกองทุนผลาญเงินไปกับหุ้น STARK เป็นคดีพิเศษ หลังจากร้องทุกข์ ก.ล.ต.ผ่านไปครึ่งปีเรื่องยังเงียบ โอดกองทุนซื้อหุ้นเจ้าปัญหายอดดอยแต่มาขายยอดหญ้า ขาดทุนยับนับ 3,500ล้าน ราคากองทุนติดลบหนักที่สุดกว่ารายอื่น ส่งผลขาดกความเชื่อมั่นประชาชนหวั่นผวาไม่กล้าซื้อหน่วยลงทุนประหยัดภาษี อธิบดี DSI นับหนึ่งตรวจสอบผิดพรบ.หลักทรัพย์ และกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกง-ยักยอกทรัพย์ ตรวจเส้นทางรับเงินทอนตามครหาหรือไม่ ถ้าจำเป็นต้องให้กลต.ร่วมมือด้วย
เมื่อเวลา09.30 น.วั นนี้ (13กุมภาพันธ์)
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กลุ่มผู้ถือหน่วยลงทุนที่เสียหายจากการลงทุนในกองทุนแห่งหนึ่งที่ได้ลงทุนในหุ้นSTARK
ได้เข้าพบร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ
รักษาการอธิบดีกรม DSI ให้รับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษ
และให้ดำเนินคดีต่อกองทุน ผู้บริหาร ผู้จัดการกองทุนฐานกระทำผิดต่อ
พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 และกฎหมายอาญามาตรา343 ฐานฉ้อโกง
และมาตรา 353 ฐานยักยอกทรัพย์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
ทางด้านพ.ต.ต.ยุทธนา
แพรดำ อธิบดีกรมDSI กล่าวหลังจากรับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายว่า
DSIไม่ได้นิ่งนอนใจในกรณีSTARK ได้รับเรื่องไว้เป็นคดีพิเศษ
ดำเนินคดีอย่างจริงจังต่อเนื่อง
ล่าสุดเมื่อวานนี้เพิ่งแจ้งความดำเนินคดีและควบคุมตัวนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ
เจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ควบคุมตัวไว้ในเรือนจำระหว่างการพิจารณา
ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้เสียหายจากกองทุนมาร้องทุกข์ให้เป็นคดีพิเศษนั้น
ในชั้นต้นDSIจะรับหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษไว้
และเริ่มตรวจสอบว่ากองทุนดังกล่าวมีพฤติการณ์ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ รับเงินทอน
ซื้อขายหุ้นโดยทุจริตและทำให้ประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหาย
เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ หากเข้าข่ายก็พร้อมรับเป็นคดีพิเศษต่อไป
ส่วนการที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกร้องเรียนว่ามีการกระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วยนั้น
และกลุ่มผู้เสียหายเคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับก.ล.ต.มาแล้วนั้น ทางDSIก็คงจะได้ประสานงานกับทางก.ล.ต.ต่อไป เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรง
แต่DSIก็พร้อมอำนวยความยุติธรรมในกรณีที่ก.ล.ต.จะประสานงานมาในความผิดเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.หลักทรัพย์
นายสิทธา (ขอสงวนนามสกุล) หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหายยื่นหนังสือร้องทุกข์
ต่อกับอธิบดีDSI ระบุรายละเอียดในหนังสือว่า
กลุ่มผู้เสียหายหลายหมื่นคนที่ลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษี(LTF)ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมแห่งหนึ่ง
เพราะเชื่อมั่นว่ามีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของประเทศเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
เพื่อหวังจะนำไปใช้ประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษี
และออมลงทุนไว้เป็นเงินใช้จ่ายยามเกษียณต้องมาเสียหายอย่างหนักจากการกระทำผิดกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหา
โดยได้เคยรวมตัวกันไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เมื่อวันที่
18 กรกฎาคม 2566 บัดนี้เวลาผ่านมาครึ่งปี เรื่องเงียบหาย
แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ของกองทุนคู่กรณีติดต่อเกลี้ยกล่อมมาทางโทรศัพท์แทน
เมื่อหมดที่พึ่งจึงมาร้องทุกข์ต่ออธิบดีDSI เพราะเห็นว่ามีผลงานดำเนินคดีกรณีSTARKไม่ไว้หน้าใคร ล่าสุดออกหมายจับดำเนินคดีนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ
เจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่STARKส่งตัวไปเรือนจำ
ทำให้เกิดความหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมบ้าง จึงมาร้องทุกข์ต่ออธิบดีDSI
ตัวแทนผู้เสียหายบรรยายในหนังสือร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีว่า
ข้าพเจ้าและคณะ รวมทั้งประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ขอให้DSIรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ เพราะมีความเสียหายวงกว้างต่อประชาชนนับหมื่น
ความเสียหายนับหมื่นล้านบาท และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง
และขอให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้จัดการกองทุน
คณะผู้บริหาร และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมดังกล่าว(ขอสงวนชื่อในเอกสารแถลงข่าว)
ในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1
เนื่องจากผู้กระทำความผิด
ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต
ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ
ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนั้นเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญามาตรา
341 ผู้โดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปี ปรับไม่เกิน6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา343
กระทำผิดด้วยการแสดงข้อความอั้นเป็นเท็จต่อประชาชน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน5ปี
ปรับไม่เกิน1แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และกระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา
353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆโดยทุจริต
จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปี หรือปรับไม่เกิน6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กับขอให้DSI เป็นตัวแทนข้าพเจ้าและประชาชนผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อในกรณีเดียวกัน
หรือทำนองเดียวกันดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดให้เยียวยาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งอีกด้วย
ทั้งนี้ข้าพเจ้า และประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ
ประสบผลขาดทุนในการลงทุนเฉพาะปี2566ที่เกิดเหตุลบ21.93% ซึ่งข้าพเจ้า
และประชาชน ต่างเข้าใจข้อจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนผ่านกองทุนรวมดีว่า
การลงทุนย่อมมีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง
อย่างไรก็ตามความเสียหายดังกล่าวในกรณีนี้
ไม่ได้เป็นไปตามสภาพการลงทุนตามปกติวิสัย แต่มาจากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว
ดังต่อไปนี้
1.ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลงทุนหน่วยลงทุนLTFผ่านกองทุนดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ในการประหยัดภาษี
และเก็บออมสำหรับวัยเกษียณอายุ
เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าบลจ.นี้มีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของประเทศ
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีฐานะมั่นคงแข็งแกร่ง
แต่การณ์กลับปรากฎว่าผลงานการลงทุนต่ำกว่ากองทุนประเภทเดียวกันอย่างชัดเจน
กองทุนนี้มีผลดำเนินงานงวดรอบ 1 ปีลบ 21.93%
(ค่าเฉลี่ยของกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกัน ลบเพียง 0.49
เนื่องจากกองทุนนี้ไปลงทุนในหุ้นของบมจ.สตาร์คคอร์ปอเรชั่น- STARKไว้มาก และกระทำผิดกฎหมาย มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
มีการกระทำผิดในด้านความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน
และผิดกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงและยักยิกทรัพย์
2.ผู้กระทำความผิดยังบังอาจกระทำผิดกฎหมายอาญา
โดยได้มีพฤติการณ์ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อข้าพเจ้า และผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย
โดยจะเห็นได้จากกองทุนนี้ได้เข้าไปลงทุนหุ้นของบมจ.STARK เอาไว้มากถึง
916 ล้านหุ้น ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2565 โดยมีราคาต้นทุนตั้งแต่3.72บาท ไปถึง5 บาท ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาSTARKยกเลิกดีลการซื้อกิจการบริษัทLEONIประเทศเยอรมนีในเดือนธันวาคม 2565 แล้ว กองทุนอื่นๆ
ต่างพากันเทขายหุ้นSTARKออกเพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามแผนงาน
และอาจกระทบต่อผลดำเนินงานได้ แต่กองทุนนี้กลับถือครองหุ้นเอาไว้จำนวนมาก
กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พักการซื้อขาย4เดือน
มาเปิดให้ซื้อขาย1เดือนสุดท้าย ระหว่างวันที่ 1ถึง30มิถุนายน 2566
ทางผู้กระทำผิดก็ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อผู้ถือหน่วยลงทุนว่าเหลือหุ้นในมือเพียงเล็กน้อย
แต่ต่อมาผู้กระทำผิดได้แจ้งต่อสำนักงานก.ล.ต.ในวันที่23และ27มิถุนายน 2566
ว่ายังคงถือครองหุ้นไว้มากถึง 670 ล้านหุ้น
และได้ขายออกไปหมด ก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่ตลาดฯให้ซื้อขายได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566
ซึ่งช่วงดังกล่าวราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับราคา 1 ถึง 4 สตางค์ ก็จึงน่าจะเหลือมูลค่าที่ขายได้ไม่เกิน 20
ล้านบาท จากต้นทุนที่มีอยู่ราว 3,850 ล้านบาท
ประมาณการณ์ว่าคงจะขาดทุนสุทธิมากกว่า3,500ล้าน
3.ผู้กระทำผิด
ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เห็นได้จากแถลงการณ์ลงวันที่
19 มิถุนายน 2566 ว่า”..บริษัทได้ส่งทีมนักวิเคราะห์เข้าชมโรงงาน Phelps Dodge ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STARK เพื่อประเมินความสามารถในการดําเนินกิจการ โดยประเมินเบื้องต้นว่าบริษัทยังคงสามารถดําเนินกิจการได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด และ รอการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่ผ่านการรับรองโดยผู้สอบบัญชีในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 เพื่อใช้ประเมินการลงทุนในหุ้น STARK ต่อไป”
ซึ่งในความเป็นจริงปรากฏว่าผู้กระทำผิด
ขาดความระมัดระวังในการรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
เพราะขณะที่บลจ.อื่นๆแจ้งว่าได้ขายหุ้นSTARKออกไปหมดแล้ว
แต่ผู้กระทำผิดยังคงถือครองหุ้นไว้จำนวนมากถึง670ล้านหุ้น
และได้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จตามข้อ2
และยังขาดความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เพราะยังเห็นว่ากิจการSTARKยังจะสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
และยังถือครองหุ้นไว้จำนวนมาก จนท้ายที่สุดต้องขายออกไปในราคาที่แทบจะสิ้นมูลค่าแล้ว
อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายทุจริต
ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ
4.ผู้กระทำผิดยังมีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าอาจจะมีการทุจริต
โดยทำการซื้อขายหุ้นที่ไม่โปร่งใส ผิดจากวิสัยของการบริหารกองทุนโดยทั่วไป
โดยทำการไล่ซื้อราคา STARK ในราคาสูง ปริมาณมาก
กระจุกตัว และยังซื้อกระจุกตัวในหุ้นเครือSTARKอีกหลายตัว
ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ในเครือเดียวกับSTARK เช่น บมจ.TOA และDPAINT เป็นต้น
ซึ่งผิดจากปกติวิสัยของการลงทุน
5.นอกจากนั้นยังพบด้วยว่าผู้กระทำผิดได้มีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่สุจริตและมีความขัดแย้งทางผลประโยนชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนหลายกรณี
เช่น การเข้าไปลงทุนหุ้นSKYแบบซื้อบิ๊กล็อตราคา30.25บาท ตอนที่มีการไล่ราคาหุ้นขึ้นไปเพียงแค่2เดือน ทั้งที่ราคาทรงๆตัวอยู่เขต10บาทนานเป็นปีแต่ไม่ยอมลงทุนซื้อตอนราคาหุ้นถูกๆ
หรือซื้อบิ๊กล็อตหุ้นADDตอนมีการไล่ราคาขึ้นไป30บาท แล้วมาตัดขายขาดทุนที่10บาท
หรือพฤติกรรมไล่ราคาซื้อหุ้นSAMART SAMTEL ในราคา30ถึง45บาท
เมื่อปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปทางลบอย่างมีนัยยะสำคัญ ก็ไม่ปรับพอร์ตใดๆ เพิ่งจะมาขายตัดขาดทุนแถวราคา3ถึง5บาทในต้นปีนี้ ทั้งที่กิจการกำลังฟื้นตัว
อันเป็นพฤติการณ์กระทำผิด กฎหมายพรบ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา124/1 และกฎหมายอาญามาตรา 343 และมาตรา353
ไม่ได้จัดการกองทุนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน และกระทำการโดยทุจริต
ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ และอาจกระทำผิดต่อมาตราอื่นๆของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
ข้าพเจ้าและประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ
เคยเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566
ได้โปรดอำนวยความยุติธรรมในฐานะเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ลงทุน
ผู้ถือหน่วยลงทุนให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
และกอบกู้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับมาสู่ตลาดทุนโดยไว ด้วยการดำเนินการสืบสวนสอบสวน
และเป็นตัวแทนของข้าพเจ้าและประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนท่านอื่นๆที่เป็นเหยื่อประสบความเสียหายในกรณีทำนองเดียวกัน
แต่เวลาผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
สำนักงานก.ล.ต.ไม่เคยสอบถามข้อมูลใดๆจากข้าพเจ้าและผู้สียหายเพิ่มเติม
ข้าพเจ้าและประชาชนผู้เสียหายจึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม จึงหวังให้DSIได้รับเป็นคดีพิเศษ แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้จัดการกองทุน
คณะผู้บริหาร และบลจ.บัวหลวง ในฐานความผิดต่อ
พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1
และมีพฤติการณ์กระทำการโดยทุจริตผิดกฎหมายอาญามาตรา343 และ353
ทำให้ข้าพเจ้าและประชาชนผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ ซึ่งมีระวางโทษทั้งจำทั้งปรับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กับขอให้DSI
เป็นตัวแทนข้าพเจ้าและผู้เสียหายในกรณีเดียวกัน
หรือทำนองเดียวกันดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดให้เยียวยาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งให้ครบถ้วนอีกด้วย
พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าได้แนบหลักฐานในการร้องเรียน เป็นบัญชีการลงทุน
หรือจำนวนผลขาดทุนอันเกิดจากการกระทำผิดกฎหมายมาพร้อมกันนี้แล้ว
และทั้งยินดีจะให้ถ้อยคำ และเอกสารที่จำเป็นเกี่ยวข้องตามที่ท่านได้ร้องขอต่อไป
...
ผู้แถลงข่าว
นายสิทธา สุวิรัชวิทยกิจ (กรุณาสงวนนามสกุลในการนำเสนอข่าวทางสื่อมวลชน)
ตัวแทนผู้ลงทุนผู้เสียหาย และผู้ร้องเรียน เบอร์โทรศัพท์มือถือติดต่อ 0922696644 หรือติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการลงทุนของข้าพเจ้า ดร.ณัฐวุฒิ
รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ใบอนุญาตเลขที่ 12888 โทรศัพท์มือถือ 0825859888
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น