กรุงเทพฯ – บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) ประกาศท็อปฟอร์ม โชว์งบ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ 1,191 ล้านบาท และกำไรปกติ 475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 426 % (YoY) หลังธุรกิจไฟฟ้าฟื้น จากค่า Ft ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิง ในขณะที่บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.060 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 และกำหนดจ่าย 4 ธันวาคม 2566 ล่าสุดได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับเรทติ้งสูงสุด และได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนีหุ้นยั่งยืนเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน สะท้อนการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล สู่แผนการขับเคลื่อนการลงทุนในธุรกิจน้ำ - ไฟฟ้าพลังงานสะอาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
บริษัท ดับบลิวเอชเอ
ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“WHAUP”) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 โดยบริษัทฯ
รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ จำนวน 1,191 ล้านบาท
และมีกำไรปกติ (Normalized Net Profit) 475 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 72 % และ 426 % ตามลำดับ
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน
512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,844% จากปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด
9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ
จำนวน 3,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% และมีกำไรปกติ
จำนวน 1,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
และมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 304% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกำไรปกติ มีสาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
จากการที่ค่า Ft ได้ปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ทำให้อัตรากำไรในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า
SPP ที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำทั้งในประเทศ
และในประเทศเวียดนาม ยังคงเติบโอย่างต่อเนื่อง
นายสมเกียรติ
เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์
พาวเวอร์ (“WHAUP”) เปิดเผยว่า
ภาพรวม ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในไตรมาส 3/2566 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในและต่างประเทศรวมกันเท่ากับ
41 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
(YoY) ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกของปี 2566
มียอดจำหน่ายและบริหารน้ำรวม เท่ากับ 117 ล้านลูกบาศก์เมตร
เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยการเพิ่มขึ้นชองปริมาณการจำหน่ายน้ำในประเทศมีปัจจัยหลักมาจากปริมาณยอดขายน้ำดิบ
(Raw Water) ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำของลูกค้ากลุ่มพลังงาน
ขณะเดียวกัน
การจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะจากโครงการ Duong River ยังคงมีการเติบโตเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำในประเทศเวียดนาม
และการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ในการให้บริการน้ำประปาที่ครอบคลุมมากขึ้น และบริษัทฯ
คาดว่า ยอดจำหน่ายน้ำในประเทศเวียดนาม จะเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคตตามความต้องการของลูกค้าที่ทยอยเปิดดำเนินการในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ
อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 และแผนการขยายธุรกิจสาธารณูปโภคควบคู่ไปกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
กรุ๊ป ในประเทศเวียดนาม
ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ในไตรมาส
3/2566 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2565 ในขณะที่งวด 9
เดือนแรกของปี 2566 มีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เนื่องจากค่า Ft ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ
ทำให้ในส่วนของการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน GHECO-One ในไตรมาส
3/2566 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
โรงไฟฟ้าถ่านหิน GHECO-One มีการหยุดซ่อมบำรุง
ทำให้ได้รับค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าที่ลดลง
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา
(Solar
Rooftop) ในไตรมาส 3/2566
บริษัทฯ รับรู้รายได้ทั้งสิ้น 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์
โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ
มีกำลังการผลิตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 106 เมกะวัตต์ และมีจำนวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการ
Private PPA จากพลังงานแสงอาทิตย์สะสมแล้ว จำนวน 179 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่
730 เมกะวัตต์
นอกจากนี้
บริษัทฯยังขยายโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทฯ
ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด (“AAT”) เพื่อติดตั้งโซล่าร์ แบบลอยน้ำ (Solar Floating) โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด
8 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ติดตั้ง 60,000 ตารางเมตร ในนิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์น ซีบอร์ด
(ระยอง) ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือนกันยายน 2567
และในวันเดียวกันนี้
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.060 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล)
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล วันที่
4 ธันวาคม 2566 ตามลำดับ ทั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน
และความมั่นคงของกระแสเงินสดที่สะท้อนถึงความสามารถในการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับการที่ทริสเรทติ้งได้ประกาศคงอันดับเครดิตขององค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทฯ
ที่ระดับ "A-" พร้อมแนวโน้ม “คงที่” สะท้อนถึงมุมมองบวกจากแนวโน้มการเติบโตของรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน
และฐานะทางการเงินที่มั่นคงของบริษัทฯ
พร้อมกันนี้ ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็น
‘หุ้นยั่งยืน’ ประจำปี 2566 โดยได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับ
AAA ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด และเป็นการได้รับการคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน
4 ปี ติดต่อกันจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
รวมถึงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ พัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง
พร้อมรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ภายใต้การบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล
(ESG) ซึ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯสอดคล้องกับแผนการขับเคลื่อนธุรกิจการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภค
(น้ำ) และธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น