Cryptomind แชร์มุมมอง The Next Big Thing of Fintech ในงาน CTC - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Cryptomind แชร์มุมมอง The Next Big Thing of Fintech ในงาน CTC




ซานเจ CEO Cryptomind แชร์มุมมอง The Next Big Thing of Fintech ในงาน CTC ให้ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงโลกการลงทุน แนวทางบริหารทรัพย์สิน และอนาคตของFintech



ผ่านไปแล้วกับงาน Creative Talk Conference (CTC) งานรวมเทรนด์ความรู้ ที่รวบรวมผู้บริหารในวงการต่าง ๆ มาแชร์มุมมองและประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนสามารถใช้ไอเดียต่อยอดการทำงานและทำธุรกิจให้สร้างสรรค์

ภายในงาน ซานเจ หรือ นายสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ได้มีการแชร์มุมมองในหัวข้อ “The Next Big Thing of Fintech”อนาคตของ Fintech ในโลกที่ธุรกิจยังผันผวนจะเป็นอย่างไร? เรื่องใหม่ เรื่องใหญ่ อะไรที่ต้องเตรียมความพร้อมกันบ้าง??



“เทรนด์ Fintech ครึ่งปีหลังของ 2023”

ในมุมมองของผู้ใช้งาน (User) ตั้งแต่ปี 2017 คนไทยที่เริ่มลงทุนใน Digital Asset (DA) อยู่ที่ 100,000 คน แต่ในปัจจุบันจากข้อมูลของสำนักงาน ก.ล.ต. มีผู้ถือครอง DA กว่า 2,900,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และหากเทียบในระดับโลก ประเทศไทยนับเป็นอันดับ 8 ของโลกที่มีผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุด และคนไทยมีการใช้งาน Decentralized มากเป็นอันดับ 3 ของโลก

ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงการเปลี่ยนไปของโลกแห่งการลงทุน เมื่อก่อนต้องเป็น VC หรือ High Net Worth เท่านั้นจึงจะสามารถลงทุนในหุ้นของ Facebook ได้ นักลงทุนทั่วไปจะสามารถร่วมลงทุนหรือเป็นเจ้าของได้ก็ต่อเมื่อมีการออก IPO หรือนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ทุกวันนี้เราไม่จำเป็นต้องเป็น VC หรือ High Net Worth ถึงจะสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้ ซึ่งรวมไปถึงโอกาสในการระดมทุนรูปแบบใหม่เช่นกัน



“แนวทางการบริหารสินทรัพย์”

การลงทุนจำเป็นต้องดูปัจจัยและสถานการณ์โลกประกอบเป็นหลัก หากดูการเกิดขึ้นของบิตคอยน์ (BTC) ในปี 2008 นับว่าอยู่ในช่วงที่เกิด Financial Crisis จนถึงปัจจุบันที่เราเริ่มมีระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ทุกคนสามารถทำตัวเป็นธนาคาร ปล่อยกู้ ให้ยืม รับฝากสินทรัพย์ได้ หรือแม้แต่ NFT ที่แบรนด์ระดับโลกใช้เป็นส่วนหนึ่งในการทำ Branding แสดงถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ถือครอง และ มี.ค. 2566 ที่เกิดเหตุการณ์ธนาคารหลายแห่งล้มลงอีกครั้ง ราคาบิตคอยน์ที่มักมีการขยับตัวตามสินทรัพย์เสี่ยง กลับสวนกระแส พุ่งจาก 19,000 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 28,000 ดอลลาร์ ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ สิ่งนี้แสดงถึงเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ นักลงทุนต่างมองหาสินทรัพย์ใหม่ในการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า สร้างผลตอบแทนได้มากกว่า

ล่าสุด มิ.ย. 2566 บริษัทจัดการกองทุนระดับโลกอย่าง Blackrock, Fidelity, Vanguard ต่างหันหน้าเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ โดยการยื่นขออนุมัติ SPOT Bitcoin ETF สร้างแรงกระเพื่อมต่อราคาบิตคอยน์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างชัดเจน หากคำนวณเม็ดเงินเพียงแค่ 3-5% ที่บริษัทจัดการลงทุนระดับโลกบริหาร ไหลเข้าสู่ตลาด คริปโทฯ ก็จะทำให้มูลค่าตลาด (Market Cap) เติบโตขึ้นไปอีก

ยังไม่นับ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 ที่ราคาบิตคอยน์ (ตามสถิติ) ที่จะสามารถทำ New High เดิมที่ 69,000 ดอลลาร์อีกครั้งหนึ่ง



“อนาคตของโลก Fintech”

รากฐานของ Fintech ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง Financial และ Technology จะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงอย่างมหาศาล ทุกวันนี้ในโลกการลงทุนเรามีทั้งโลกเก่า และโลกใหม่ แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เร็วและแรงขึ้น ผลิตภัณฑ์ทางการเงินจะมีหลากหลายให้เลือก แนวทางการลงทุนก็เช่นกัน ไม่จำกัดแค่หลักทรัพย์ ทุกคนจะมีโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ชั้นดีเท่า ๆ กัน เป็นโอกาสใหม่สำหรับนักลงทุนทุกวัย

กฎเกณฑ์ ข้อบังคับจะชัดเจนมากขึ้น สาเหตุจากเม็ดเงินมหาศาลจากฝั่งสถาบันการเงินที่ไหลเข้าสู่โลกคริปโทฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้ Regulator จำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน จะมีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad