CHOW โชว์ผลงานปี 65 ยอดเยี่ยมกำไรกว่า 1,165.74 ลบ. จากแผนธุรกิจพลังงานเหนือชั้นทำกำไรจากเงินลงทุนในญี่ปุ่นกว่า 1,425 ลบ. ผนึกการต่อยอดธุรกิจลุย Solar Rooftop ในประเทศ ขณะธุรกิจเหล็กเปิดหน่วยธุรกิจใหม่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำควบคู่ผลิต OEM ให้ลูกค้า มั่นใจปี 66 ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง หลังเหล็กผ่านจุดต่ำสุด พร้อมขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะธุรกิจพลังงานทดแทนโตก้าวกระโดด จากราคาพลังงานพุ่ง เผยพร้อมรับทุกโอกาสทางธุรกิจ หลังเตรียมความพร้อมอย่างดีทั้งบุคลากร เทคโนโลยี พันธมิตรและฐานเงินที่แข็งแกร่ง
นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน (CFO) บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำงวดปี 2565 ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ รวมบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิสำหรับปี 2565 จำนวน 1,165.74 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมามีผลขาดทุน 112.44 ล้านบาท และมียอด EBITDA สูงถึง 1,374.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนในบริษัทย่อยซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานในต่างประเทศ เกิดผลกำไรจากการลงทุนและรับรู้ในปี 2565 กว่า 1,425 ลบ. ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ อีกทั้ง ยังมีการต่อยอดการลงทุนในระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยเพิ่มเติมในช่วงที่ค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ ได้รับโอกาสจากพันธมิตรทางการค้าในหลากหลายธุรกิจ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า PPA และ สัญญา EPC โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ COD แล้วรวม 30.56 เมกะวัตต์ดีซี (ซึ่งเป็นโครงการที่ COD ในไตรมาสที่ 4 รวม 23.9 เมกะวัตต์)
ด้านธุรกิจเหล็กได้มีการขยายตัวสอดคล้องกับความต้องการเหล็กในตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจในประเทศไทยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งบริษัทฯ ยังเพิ่มหน่วยธุรกิจใหม่ที่เป็นการซื้อขายสินค้าเกี่ยวกับเหล็กทั้งในและต่างประเทศจากการใช้ความความรู้และความเชี่ยวชาญจากการอยู่ในธุรกิจเหล็กมามากกว่า 20 ปี ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจเหล็กสร้างผลกำไรส่วนเพิ่มจากหน่วยธุรกิจใหม่นี้ สำหรับการผลิตเหล็กตามคำสั่งซื้อ ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มผลิตภัณฑ์เหล็กใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2564 ส่งผลให้ในปีปัจจุบันได้รับคำสั่งการผลิตเพิ่มมากขึ้นทั้งในส่วนของปริมาณการผลิตและประเภทของสินค้าซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปในปี 2565 อีกด้วย
ส่วนธุรกิจคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ ใช้เงินลงทุนไม่มากในเครื่องขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว มูลค่าของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ปรับลดลงซึ่งเกิดจากความพยายามในการลดอัตราเงินเฟ้อในต่างประเทศจึงส่งผลให้มูลค่าของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ทุกชนิดปรับตัวลดลงและบริษัทฯ จึงทำการปรับลดมูลค่าของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่และเครื่องขุดเหรียญเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไปในปีปัจจุบัน ซึ่งผลประกอบการที่เติบโตขึ้นในปี 2565 สะท้อนถึงการดำเนินงานที่เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้และมีความพร้อมในทุกๆด้านเพื่อการเจริญเติบโตในธุรกิจที่ดำเนินงานในปัจจุบันและโอกาสที่จะสร้างผลกำไรเมื่อมีโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆต่อไป
นายปรมัตถ์ กล่าวต่อว่าในปี 2566 CHOW มีทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 หลังจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการทั้งในธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงาน โดยในธุรกิจเหล็กเชื่อว่าปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและเริ่มเข้าสู่ช่วงทยอยฟื้นตัว โดยปัจจัยหนุนจะมาจากการเริ่มฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างในโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ใช้ในธุรกิจก่อสร้างฟื้นตัวในทิศทางเดียวกัน โดยธุรกิจเหล็กของ CHOW แบ่งรายได้ออกเป็นในกลุ่มการผลิตเหล็กแท่งทรงยาวตามสัญญารับจ้างผลิตให้กับลูกค้ารายใหญ่ซึ่งคาดว่าในปี 2566 จะสามารถผลิตและส่งมอบได้มากกว่าปี 2565 ในขณะที่ธุรกิจเทรดดิ้งหรือซื้อมาขายไปในส่วนของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมาตรฐาน คาดว่าจะขายได้ไม่น้อยกว่า 280,000 ตัน ในปี 2566 จาก 150,000 ตันในปี 2565
ส่วนธุรกิจพลังงานมีทิศทางเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ต่อเนื่องจากปี 2565 โดยปัจจัยหลักยังมาจากต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัจจัยภาคเอกชนรายใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และให้ความร่วมมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ โดยตั้งเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ net zero โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการส่งออก และภาครัฐให้การสนับสนุนทั้งมาตรการด้านภาษีในกลุ่มภาคธุรกิจ และโครงการการรับซื้อไฟฟ้าตามมาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Feed-in Tariff: FiT) อัตรารับซื้ออยู่ที่ 2.20 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี ในภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคา หรือ Solar Rooftop เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายจะมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเพิ่มเป็น 150 เมกะวัตต์ในปีนี้ ในขณะที่ธุรกิจพลังงานในต่างประเทศยังเดินหน้าต่อไปทั้งในญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
นายปรมัตถ์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่า ปี 2566 จะเป็นอีกปีทองทางธุรกิจของ CHOW จากที่มีฐานทุนแข็งแกร่ง สามารถขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ เอง และการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารชั้นนำ นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรที่มีความสามารถ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและ supply chain ที่แข็งแกร่งทำให้เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบและอุปกรณ์ ในราคาที่แข่งขันในตลาดได้อย่างคล่องตัว ซึ่งความพร้อมเหล่านี้จะทำให้ CHOW สามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น