· ตั้งเป้าเติบโตสอดคล้องเมกะเทรนด์พลังงานโลก
ผ่าน 3
การลงทุนใหม่ในต่างประเทศ ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก
·
เดินหน้าร่วมสนับสนุนนโยบายประเทศ
สู่การลดระดับคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนในระยะยาว
·
คาดภายใน 5 ปี
สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเกือบทั้งหมดของบริษัทจะมาจากพลังงานหมุนเวียน
“มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมหาศาลจากการดิสรัปชั่นทั่วโลกที่มุ่งเป้าสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จุดยืนของเรา
ซีเค พาวเวอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จะเอื้ออำนวยให้เราได้รับประโยชน์จากเทรนด์การผลิตไฟฟ้าแห่งอนาคตอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมสนับสนุนนโยบายการลดคาร์บอนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อนของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม”
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)
กรุงเทพฯ (25 มกราคม 2565) – วันนี้ (25 มกราคม) บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์:
CKP) หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
ประกาศว่า บริษัทมีแผนขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัว ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าขึ้นอีกประมาณ 2,800
เมกะวัตต์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ทั่วโลกหันไปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีเค พาวเวอร์ มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้ง ให้เป็น 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี พ.ศ. 2567โดยโครงการใหม่ทั้ง 6 นี้ จะเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยกำลังการผลิตติดตั้งใหม่ทั้งหมดของเราจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานลม”
“ตามแผนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเรา
เราตั้งเป้าที่จะเข้าไปขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ในต่างประเทศผ่าน
3 การลงทุนใหม่ ซึ่งทุกโครงการจะใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด”
นายธนวัฒน์กล่าว
นายธนวัฒน์เปิดเผยว่า ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า ซีเค พาวเวอร์ จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นอีกกว่าสิบเท่าตัว หรือที่ 330 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น ภายในระยะเวลาเดียวกัน ก็จะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมขึ้นอีกสองเท่า กลายเป็น 700 เมกะวัตต์ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้ 95% ของไฟฟ้าที่บริษัทผลิตทั้งหมด มาจากการใช้พลังงานหมุนเวียน
นายธนวัฒน์กล่าวว่า “มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมหาศาลจากการที่ทั่วโลกหันมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีมติเห็นชอบในข้อตกลง Glasgow Climate Pact ด้วยการที่ประเทศต่างๆ ตัดสินใจร่วมมือกัน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และกำหนดให้ปี พ.ศ. 2563 เป็นปีเริ่มต้นของการเดินหน้าภารกิจสำคัญในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก และส่งผลในเชิงบวกต่อกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวของซีเค พาวเวอร์ ที่เราได้วางไว้ ทั้งนี้ ประสบการณ์ที่ยาวนานของเราในการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน จะส่งผลให้เราได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทรนด์การผลิตไฟฟ้าแห่งอนาคต และในขณะเดียวกัน การที่เราเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีระดับคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ต่ำที่สุดรายหนึ่ง จะทำให้เรามีส่วนช่วยสนับสนุนเรื่องการลดคาร์บอนของประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยเช่นกัน”
มีการคาดการณ์ว่าความต้องการพลังงานในภูมิภาคอาเซียนจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ภายในอีก 20 ปีข้างหน้า
โดยคาดว่าสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะอยู่ที่ประมาณ 20% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานน้ำ จาก 9% เป็น 18%ภายในเวลาไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้ ในขณะที่ภายในปี พ.ศ. 2573 ประเทศไทยตั้งเป้าให้ 30% ของรถยนต์ใหม่ เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า
และภาคการขนส่งจะกลายเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน นำหน้าภาคอุตสาหกรรม
แนวโน้มอื่นๆ ที่นายธนวัฒน์ระบุว่าจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ความต้องการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ การที่รัฐบาลและบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างเห็นพ้องต้องกันมากยิ่งขึ้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน ในฐานะเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศ นอกเหนือไปจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ซีเค พาวเวอร์ มีรายได้รวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564
อยู่ที่ 2,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.7% และมีรายได้รวมงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ที่ 6,905
ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
20.6% กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 2,056 ล้านบาท จากกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 397 ล้านบาท
นายธนวัฒน์กล่าวเสริมว่า
ซีเค พาวเวอร์ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงสำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต
โดยมีอัตราตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ต่ำเพียง 0.67 เท่า ขณะเดียวกันก็มีงบดุลที่แข็งแกร่ง พร้อมกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาจำหน่ายกระแสไฟฟ้าระยะยาวที่ทำกับการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “CKP” เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอยู่ในดัชนี SET 100 ตลอดจนได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงอยู่ในดัชนี SETCLMV ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมบริษัทจดทะเบียนของไทย ที่มีการทำธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV และได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่อันดับ “A” แนวโน้ม “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น