จากผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลได้เร่งดำเนิ นการออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งด้านการเงินและการคลังเพื่ อผ่อนคลายผลเชิงลบทางเศรษฐกิ จโดยเฉพาะประชาชนและผู้ ประกอบการในภาคต่าง ๆ ที่ประสบความเดือดร้ อนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในการนี้ ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่จะประคั บประคองให้ลูกค้าผู้ ประกอบการและประชาชนสามารถผ่ านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ โดยที่ผ่านมาธนาคารออกมาตรการต่ าง ๆ พร้อมทั้งสนับสนุ นมาตรการของภาครัฐและธนาคารแห่ งประเทศไทย เพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือลู กค้าผู้ประกอบการให้มีเงินทุ นและสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนิ นธุรกิจและรักษาการจ้างงาน และช่วยเหลื อประชาชนในการลดภาระทางการเงิน เพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายง านกำไรสุทธิสำหรั บไตรมาสแรกจำนวน 7,671 ล้านบาท
ไตรมาส 1 ปี 2563 ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมี รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้ อยละ 15.3 จากไตรมาส 4 ปี 2562 จากการเติบโตของสินเชื่อลูกค้ าธุรกิจรายใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ รายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่ อโดยใช้วิธีอัตราดอกเบี้ยที่แท้ จริง (Effective Interest Rate) ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุ ทธิของธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 2.52 ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนี ยมและบริการสุทธิลดลงร้อยละ 22.4 ส่วนใหญ่ลดลงจากรายได้ค่ าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ สำหรับรายได้จากการดำเนินงานอื่ นลดลงจากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากไตรมาส 4 ปี 2562 ธนาคารมีกำไรสุทธิจากเงินลงทุ นจำนวน 14,988 ล้านบาท กอปรกับเครื่องมือทางการเงิ นประเภทที่มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ กำหนดให้วัดด้วยมูลค่ายุติ ธรรมมีมูลค่ าลดลงตามสภาวะตลาดเงินและตลาดทุ นที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนิ นงานลดลงร้อยละ 28.8 ทั้งนี้ธนาคารตระหนักถึ งความสำคัญในการดูแลลูกค้า พนักงานและผู้มีส่วนได้เสี ยโดยจัดให้มีมาตรการป้องกั นและดูแลการติดเชื้อโดยมี การประชุมในระดับฝ่ายจัดการอย่ างใกล้ชิดและจัดการปรับเปลี่ ยนการป้องกันให้ทันต่อการเปลี่ ยนแปลงตลอดระยะเวลานับแต่เกิ ดเหตุการณ์ดังกล่าว อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 43.1 สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรั บไตรมาสแรกลดลงมาก เนื่องจากไตรมาสก่อนมีการตั้ งสำรองเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษเพื่ อเสริมสร้างระดั บสำรองของธนาคารให้แข็งแรงมากยิ่ งขึ้นตามหลักความระมัดระวัง ก่อนการเริ่มใช้ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9)
ฐานะการเงินและเงินกองทุ นของธนาคารอยู่ในระดับที่แข็ งแกร่ง
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,115,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 จากสิ้นปี 2562 จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อลู กค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อกิ จการต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามประมาณการที่ คาดไว้ตั้งแต่ปลายปีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่ อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่ อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้ อยละ 3.5 ขณะที่เงินสำรองของธนาคารยั งคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้ อยละ 203.9 ของเงินให้สินเชื่อที่มีการด้ อยค่าด้านเครดิต ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเคียงข้างและดูแลลู กค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อฝ่าวิ กฤตในครั้งนี้ นอกจากนี้ ธนาคารยังคงให้ความสำคัญในการดู แลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริ หารความเสี่ยง พร้อมทั้งดำรงค่าเผื่อผลขาดทุ นด้านเครดิตให้อยู่ในระดับที่ เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุ รกิจด้วยความระมัดระวังทั้ งในภาวะเศรษฐกิจปกติ และภาวะถดถอย
ธนาคารยังคงรักษาเงินกองทุ นและสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่ แข็งแกร่ง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่ อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 84.2 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้ งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ ร้อยละ 18.5 ร้อยละ 15.7 และร้อยละ 15.7 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอั ตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ธนาคารและบริษัทย่อยได้ นำมาตรฐานกลุ่มเครื่องมื อทางการเงินฉบับใหม่ (ฉบับที่ 9) มาถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรั บรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป โดยไม่ปรับงบการเงินเปรียบเที ยบย้อนหลัง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่ การจัดประเภทและการวัดมูลค่าสิ นทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน การคำนวณการด้อยค่าของสินทรัพย์ ทางการเงินโดยใช้ผลขาดทุนด้ านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) และการบัญชีป้องกันความเสี่ยง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น