ปัญหาการจราจรติดขัดนับเป็นหนึ่งในประเด็นทางสังคมที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯ
มาอย่างยาวนาน อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบการวางผังเมือง
การขยายตัวทางเศรษฐกิจและชุมชนเมือง การหลั่งไหลของแรงงานจากต่างจังหวัด ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น
รวมทั้งระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
โดยการจัดอันดับของ INRIX Global Traffic Scorecard1
ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกร2 ระบุว่า คนกรุงเทพฯ
ต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานขึ้น 35 นาทีต่อครั้ง
ซึ่งหากนำมาคำนวณเป็นค่าเสียโอกาสทางด้านเวลาที่ต้องติดอยู่บนถนน แทนที่จะนำเวลานั้นไปสร้างรายได้หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 60 ล้านบาทต่อวัน ทั้งยังส่งผลต่อการบริโภคเชื้อเพลิงพลังงานที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ
6,000 ล้านบาทต่อปี ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น
แต่ปัญหาการจราจรยังส่งผลต่ออารมณ์และสุขภาพจิต รวมไปถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม
ทั้งฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคนกรุงเทพฯ ด้วย
หนึ่งในโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆ
นี้ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพฯ คือ โครงการ “พระราม 4 โมเดล” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ
ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา อันประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร
กองบัญชาการตำรวจนครบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกร็บ ประเทศไทย และมูลนิธิโตโยต้า
โมบิลิตี โดยมุ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data)
จากฐานข้อมูลของหน่วยงานภาคีมาศึกษาวิเคราะห์และคาดการณ์รูปแบบการจราจรตลอดทั้งเส้นทาง
เพื่อนำเสนอแนวทางในการปรับปรุงการจัดการจราจรของถนนพระราม 4
รศ.ดร. สรวิศ
นฤปิติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการโครงการ “พระราม 4 โมเดล” กล่าวว่า “โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมหลักภายใต้บันทึกความร่วมมือด้านวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ซึ่งหน่วยงานภาคีได้ร่วมลงนามไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2561 ที่ผ่านมา
โดยริ่เริ่มขึ้นเพื่อมุ่งศึกษาและทดลองนำเอาบิ๊กดาต้าจากฐานข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยีอันทันสมัยและองค์ความรู้จากหน่วยงานต่างๆ
ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา มาใช้ในการวิเคราะห์ วางแผนและบูรณาการต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาด้านการจราจรและคมนาคมขนส่ง
ทั้งนี้ เฟสแรกจะเริ่มจากถนนพระราม 4
และมีแผนที่จะขยายผลไปยังถนนสุขุมวิท ถนนเจริญกรุง
และบริเวณถนนโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตามลำดับ”
จากซ้ายไปขวา: มร. ปราส กาเนช กรรมการ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลีตี รศ.ดร. สรวิศ นฤปิติ ผู้จัดการโครงการ “พระราม 4
โมเดล”
และ มร. เอริค
เซลเบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท แกร็บ โฮลดิ้งส์
สำหรับการผนึกความร่วมมือภายใต้โครงการ “พระราม 4 โมเดล” จะเริ่มนำร่องดำเนินการบนถนนพระราม
4 เนื่องจากเป็นหนึ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่นที่สุดในกรุงเทพฯ
ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เชื่อมต่อกับถนนเส้นหลักหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น ถนนสีลมและถนนสาทร ซึ่งเป็นย่านธุรกิจการค้า
โดยมีโครงการสำคัญอย่างสามย่านมิตรทาวน์ และวัน แบงค็อก รวมถึงสถานศึกษา และแหล่งที่พักอาศัยซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
โดยโครงการนี้จะทำการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจราจรตลอดถนนพระราม
4 ซึ่งมีความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร
โดยเริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพงและไปสิ้นสุดที่พระโขนง มีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 18 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
2562 จนถึงเดือนเมษายน 2564 ภายใต้งบประมาณ
50 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโตโยต้า
โมบิลิตี
ทั้งนี้ โครงการ
“พระราม 4 โมเดล” ได้ขยายผลมาจากความสำเร็จของโครงการ “สาทรโมเดล”
ซึ่งดำเนินการในระหว่างปี 2557 – 2560
โดยได้นำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการจราจรบนถนนสาทร อาทิ การควบคุมสัญญาณไฟจราจร
(Traffic Signal Control Optimization) การจัดช่องจราจรพิเศษ
(Reversible
Lane) การใช้ระบบรถรับส่งอัจฉริยะ (Smart Shuttle Bus) มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน (Flexible Working Time) มาตรการจอดแล้วจร (Park and Ride) เป็นต้น
โดยหน่วยงานภาคีได้ส่งมอบแผนงานเพื่อขยายผลไปยังส่วนต่างๆ ให้กับหน่วยงานภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตัวอย่างสภาพการจราจรบนถนนพระราม 4
แก่นสำคัญของโครงการ
“พระราม 4 โมเดล” คือความพยายามในการนำข้อมูลจำนวนมหาศาลและมีความหลากหลายจากฐานข้อมูลของหน่วยงานภาคีทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสูด
ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูล GPS ของรถที่ให้บริการการเดินทางผ่านแอปพลิเคชันของแกร็บ
รวมถึงขนส่งสาธารณะประเภทอื่นๆ จากกระทรวงคมนาคม ภาพจากกล้อง CCTV และข้อมูลสภาพการจราจรจากกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสถิติด้านอุบัติภัยจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล
เป็นต้น โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างระบบ
AI และ Machine
Learning ผนวกกับการนำองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและการสัญจรมาบูรณาการ ทำให้ทราบถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดของปัญหาด้านการจราจรในปัจจุบัน
สามารถคาดการณ์ถึงแนวโน้มและรูปแบบของการจราจรในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบและวางแผนระบบการจัดการจราจร
การพัฒนาโครงข่ายการขนส่ง รวมไปถึงการปรับปรุงการวางผังเมืองให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น”
ตัวอย่างข้อมูลสภาพการจราจรบนถนนพระราม 4 และพื้นที่ใกล้เคียง
นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า
“โครงการนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการแก้ไขปัญหาในภาคคมนาคมขนส่งอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยแกร็บในฐานะผู้ให้บริการการเดินทางแบบออนดีมานด์ผ่านแอปพลิเคชันได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลจากระบบ
GPS ซึ่งให้รายละเอียดการเดินทางของผู้ใช้บริการ
(โดยไม่ระบุตัวตน) ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อาทิ
ระยะทางและช่วงเวลาในการเดินทาง ความเร็วของการขับขี่ และจุดรับ-ส่งผู้โดยสาร ครอบคลุมทั้งข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลย้อนหลัง โดยฐานข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบการจัดการด้านคมนาคม
พร้อมบรรเทาปัญหาของเมืองใหญ่ๆ ที่มีการจราจรหนาแน่นและมีมลพิษทางอากาศอย่างกรุงเทพฯ
ลงได้ นอกจากนี้ เรายังได้ส่งทีมวิศวกรเทคโนโลยี (Tech Engineer) และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) จากสำนักงานใหญ่ในประเทศสิงคโปร์
มาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ (Know-how)
กับทีมงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและหน่วยงานภาคีด้วย”
ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ
ประเทศไทย
ความร่วมมือของแกร็บในโครงการ
“พระราม 4 โมเดล” นับเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจเพื่อสังคมในระดับภูมิภาค
“Grab For Good” (แกร็บเพื่อชีวิตที่ดีกว่า) ซึ่งแกร็บได้ประกาศเป็นโรดแมปภายในระยะเวลา 5 ปี (2563
- 2568) เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปข้างหน้า
พร้อมส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนสังคม โดยอาศัยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพในการแข่งขัน
เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ รวมถึงแก้ไขปัญหาหรือขจัดข้อจำกัดในด้านต่างๆ เพื่อให้ทุกคนก้าวทันเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น