กรุงเทพฯ (19 พ.ย.61) – เครือเบทาโกร โดย บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงในการจัดตั้งธุรกิจร่วมทุนกับ
ชเว แมร์
กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจใหญ่ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ ทั้งการนำเข้า-ส่งออก และคลังสินค้าในในเมียนมา รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักของผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของเอสซีจี
เพื่อดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารคุณภาพครบวงจรในเมียนมา
ภายใต้ชื่อบริษัท เบทาโกร (เมียนมา) จำกัด โดยมี วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร และ ทุน ลวิน กรรมการผู้จัดการ ชเว แมร์ กรุ๊ป (Tun Lwin, Managing Director, Shwe Mè Group) เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลง โดยมี ณ อาคารเบทาโกร ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของทั้ง
2 กลุ่มบริษัท ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการพัฒนาด้านการเกษตร-ปศุสัตว์ในเมียนมา ส่งต่ออาหารคุณภาพและปลอดภัยเข้าถึงผู้บริโภค
และส่งเสริมให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สำหรับ
บริษัท เบทาโกร (เมียนมา) จำกัด ดำเนินการจัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 600 ล้านบาท โดย บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 80 และ ชเว แมร์ กรุ๊ป ถือหุ้นร้อยละ 20 มีแผนลงทุนเบื้องต้นในธุรกิจต้นน้ำ
ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์
กำลังการผลิต
12,000 ตัน/เดือน
ฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ไก่เนื้อ และฟาร์มสุกร ที่เมืองย่างกุ้ง เป็นต้น
วสิษฐ กล่าวว่า เบทาโกร มุ่งมั่นที่จะผลิตอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัยที่เหนือกว่า
เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสมและยุติธรรม เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจเกษตร-ปศุสัตว์และอาหาร ในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV
ซึ่งเมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและมีศักยภาพหลายด้าน
มีปัจจัยพื้นฐานที่มีความพร้อม ให้สิทธิพิเศษประโยชน์ทางภาษี เอื้อต่อการส่งเสริมการลงทุนให้แก่นักลงทุนชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศ
รวมถึงประชากรเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความตระหนักและเปิดรับการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและมีกำลังซื้อ
“การร่วมทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้ประกอบการไทยที่เครือเบทาโกรได้รับ
ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารของไทย เรามีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ ทั้งในแง่คุณภาพของผลิตภัณฑ์
เทคโนโลยีทางการผลิต และเป็นผู้บุกเบิกมาตรฐานด้านคุณภาพและอาหารปลอดภัย ที่สำคัญยึดมั่น ในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อตรง การผสานประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ
ชเว แมร์ กรุ๊ป โดยเฉพาะ
ด้านโลจิสติกส์ และจำหน่าย
ส่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทถั่วซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์มายาวนาน
มากกว่า 20 ปี ไม่เพียงจะช่วยให้บริษัทที่ตั้งใหม่สามารถพัฒนามาตรฐานการผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ในเมียนมา
แต่ยังสามารถนำผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพเข้าถึงผู้บริโภคในเมียนมาอีกด้วย ที่สำคัญยังมีส่วนในการสร้างอาชีพ
รายได้ ให้คนในพื้นที่มีสภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น” นายวสิษฐ
กล่าว
ด้าน ทุน ลวิน กล่าวว่า
รัฐบาลเมียนมามีนโยบายที่จะพัฒนาด้านการเกษตรในเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการส่งเสริมให้ประชากรส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เป็นหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ และเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ ซึ่งประเทศเรามีความพร้อมหลายด้าน
ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินทางการเกษตร แรงงานมีทักษะด้านการทำงาน
อัตราค่าแรงที่ไม่สูง อย่างไรก็ตาม การผลิตทางภาคการเกษตรของเมียนมาในปัจจุบัน
ยังขาดองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านการผลิต การบริหารจัดการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ซึ่งเครือเบทาโกรถือเป็นผู้นำอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารคุณภาพของไทย ดำเนินธุรกิจครบวงจร
ครอบคลุมตั้งแต่อาหารสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพสัตว์
และผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพเพื่อการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ มายาวนานมากกว่า 50 ปี ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพจากบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ
ทางเรามีความเชื่อมั่นในศักภาพของเครือเบทาโกร
ปัจจุบัน เครือเบทาโกร โดยกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ
ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจการค้าและลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
โดยในเมียนมาได้เข้าไปดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปีพ.ศ.2556 มีสำนักงานตัวแทน (Rep.
Myanmar) ตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง ส่งออกอาหารสัตว์ แม่พันธุ์สุกร
จากประเทศไทยเข้าไปจำหน่าย รับผลิตไส้กรอกภายใต้ตราสินค้าร่วม C&B รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับยาสัตว์และผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น